ปัจจุบันนักออกแบบ และวิศวกรมีความต้องการที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่ดี และมีคุณภาพในเวลาอันรวดเร็ว แต่ความท้าทายในการออกแบบกลับมีเพิ่มมากขึ้น ทั้งข้อจำกัดด้านเวลาในการแข่งขันพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งความซับซ้อนของรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ความต้องการใหม่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความคาดหวังของตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต้องดีกว่า คุณภาพสูงกว่า ทำงานเร็วกว่า และราคาที่ถูกกว่า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นแรงกดดันที่ส่งต่อมายังนักออกแบบและวิศวกร และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เครื่องมือในการช่วยออกแบบ” นั้น คือ หัวใจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การทำงานประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม
6 เหตุผลหลักๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงการทำงานจากระบบที่ท่านใช้งานอยู่ โดยในแต่ละเหตุผลทางเราจะอธิบายให้เห็นผลกระทบในการทำงานที่พบอยู่บ่อยๆ และอธิบายถึงสิ่งที่แตกต่างจากความสามารถ และเครื่องมือที่มีอยู่ใน Solid Edge
เหตุผลข้อที่ 1: ความเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพของการทำงาน
Solid Edge สามารถช่วยตอบสนองการทำงานของชิ้นงานที่มีส่วนประกอบ Assemblies จำนวนมากให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และยังมี Interface ที่ใช้งานง่ายซึ่งจะช่วยให้นักออกแบบรับรู้ได้ถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้น
Lightweight Mode ช่วยลดเวลาในการจัดการหน่วยความจำ และเปิดชิ้นงานที่มีชิ้นส่วนจำนวนมาก
Smart Selection Tools ที่ช่วยให้การเลือกชิ้นส่วนที่สัมพันธ์กันทำได้อย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น Solid Edge ยังมอบประสบการณ์ที่ประทับใจสำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับชิ้นส่วนจำนวนมาก (Large Assembly) ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นกับ “เครื่องมือค้นหาชิ้นงานที่ยังไม่นำมาแสดงผล” (Inactive Components) โดยการทำงานเชื่อมโยงเข้ากับส่วนในการสร้างภาพเสมือนจริงของชิ้นงาน (photorealistic rendering) รวมถึงการสร้างภาพเคลื่อนไหว (Animation) ผลลัพธ์ที่ได้ คือ สามารถควบคุมช่วงเวลาและลำดับการทำงานที่ซับซ้อนได้ดีเยี่ยม
การใช้งาน Solid Edge ในส่วน Assembly ยังมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานสำหรับนักออกแบบ เพื่อเคลื่อนย้าย คัดลอก ปรับหมุนทิศทาง ชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้นได้พร้อมกัน ซึ่งความสามารถเหล่านี้ช่วยให้นักออกแบบใช้ในการวางผังโรงงาน และกำหนดตำแหน่งเครื่องจักรได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย โดยสามารถเลือกกำหนดความสัมพันธ์ของ assembly ที่สร้างขึ้นมาใหม่ให้เป็นกลุ่มเดียวกันกับชิ้นงานเดิม หรือแยกออกมาเป็นกลุ่มใหม่ ตามความต้องการในการใช้งานได้อย่างคล่องตัว
เหตุผลข้อที่ 2: ความรวดเร็วด้านเอกสารในงานออกแบบ
ด้วยความสามารถของ Solid Edge ที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานสองมิติ (2D) และสามมิติ (3D) Drawings ตามมาตรฐานงานเขียนแบบที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิต และซัพพลายเออร์ที่ต้องทำงานร่วมกันสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ยังครอบคลุมการใช้งานระดับสูง สามารถสร้างแบบ Drawings ได้โดยตรง โดยใช้เครื่องมือการทำงานแบบสองมิติ (2D) แยกอิสระจากข้อมูลที่ได้มาจากชิ้นงานสามมิติ (3D) หรือการทำงานทั้ง 2 มิติและ 3 มิติไปพร้อมๆ กัน
สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาข้อมูลแบบสองมิติ (2D)จากโปรแกรมอื่นๆ เช่น AutoCAD ให้เป็นชิ้นงานสามมิติ (3D) ก็สามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องมือช่วยสร้างรูปทรงที่เป็นสามมิติ (3D)
ด้วยความสามารถในส่วนของ Model-Based Design (MBD) ใน Solid Edge ทำให้สามารถกำหนดข้อมูล Product Manufacturing Information (PMI) ให้เชื่อมโยงไปกับชิ้นงานสามมิติ ซึ่งยังรวมไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับ Geometric Dimensioning and Tolerance (GD&T) และส่งออกข้อมูลในรูปแบบไฟล์ 3D PDFs ไปยังผู้ใช้อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีโปรแกรม Solid Edge เปิดหมุนดูชิ้นงานในรูปแบบสามมิติได้ เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่ดีขึ้น
เหตุผลข้อที่ 3: เครื่องมือในการออกแบบงานโลหะแผ่นที่ทรงพลัง และใช้งานง่าย
Solid Edge มีคำสั่งที่ช่วยทำงานเฉพาะทาง เพิ่มความคล่องตัวในทุกขั้นตอนของการพัฒนาชิ้นงานโลหะแผ่น นักออกแบบจึงสามารถพัฒนาชิ้นงานจากรูปแบบ 2D Sketches ได้ในไม่กี่ขั้นตอน ด้วยการสร้าง และการตัดครีบโลหะแผ่นโดยอัตโนมัติ และยังสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาพัฒนาชิ้นงาน โดยมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับการออกแบบ และผลิตชิ้นงานโลหะแผ่นโดยเฉพาะที่มีขั้นตอนการทำงานที่ง่ายดาย และเป็นอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์รวมไปถึงความสามารถในการออกแบบชิ้นงานที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว
Nesting หรือการจัดเรียงชิ้นงานแผ่นคลี่ของโลหะแผ่น ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในส่วนของการออกแบบโลหะแผ่น เพื่อช่วยคำนวณการจัดเรียงชิ้นงานให้ได้มากที่สุดลงในพื้นที่ที่กำหนด โดย Solid Edge ได้ใช้ อัลกอลิทึ่มที่มีประสิทธิภาพ ช่วยจัดเรียงชิ้นงานในพื้นที่ที่มีรูปทรงไม่เป็นมาตรฐาน
เหตุผลข้อที่ 4: เครื่องมือในการสร้างชิ้นงานสามมิติสำหรับอนาคต
ด้วยเทคโนโลยี Convergent Modeling ทีมีใน Solid Edge ช่วยให้สามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องมือออกแบบสามมิติอันทรงพลังกับข้อมูลในรูปแบบ Mesh และ Triangle-Based ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้จากระบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้จากเครื่องสแกนสามมิติ หรือการสร้างชิ้นงานในรูปแบบ Generative Design โดย Convergent Modeling ช่วยให้นักออกแบบปรับปรุงความหนาแน่นของ Mesh แก้ไข และซ่อมแซมปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Faceted Geometry หรือแม้แต่การใช้คำสั่งมาตรฐานในการสร้างรูปทรง นำมาใช้ปรับปรุงชิ้นงานได้ เช่น การเจาะรู การลบมุม การตัดเนื้อหรือการเพิ่มเนื้อ เป็นต้น ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะช่วยให้ไม่ต้องสร้างชิ้นงานขึ้นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในขั้นตอนการออกแบบ และยังช่วยให้การทำงานในขั้นตอนต่างๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นไปได้อย่างราบรี่น ตั้งแต่งานออกแบบ (CAD) งานวิเคราะห์ทางวิศวกรรม(CAE) และงานด้านการผลิต(CAM)
Solid Edge ยังช่วยให้นักออกแบบบรรลุเป้าหมายได้ โดยใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่าง Boundary Representation (B-rep) Modeling และ Facet Modeling สองเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างรูปทรงสามมิติถูกนำมาทำงานร่วมกันได้ ด้วยเทคโนโลยีของ Parasolid ซึ่งเป็น Geometry Engine Kernel ที่ถูกนำมาใช้งานใน Solid Edge โดย Parasolid เป็น Geometry Engine kernel ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากที่สุดในอุตสาหกรรม และยังเป็นเทคโนโลยีของบริษัท Siemens เช่นเดียวกันอีกด้วย
เหตุผลข้อที่ 5: เครื่องมือสำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระดับสูงที่การใช้งานไม่ซับซ้อน
ด้วยความสามารถของ Subdivision Modeling ใน Solid Edge ที่จะช่วยให้นักออกแบบเข้าถึงเครื่องมือชั้นสูงสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ช่วยให้สร้างสรรค์และควบคุมรูปทรงที่มีความซับซ้อนให้มีความสวยงาม ใช้งานสะดวกง่ายดาย ช่วยให้ออกแบบชิ้นงานที่สวยงามได้สะดวก และรวดเร็ว เป็นเครื่องมือที่ใครๆ สามารถเข้าถึงได้โดยรวมอยู่ในโปรแกรม Solid Edge ที่สำคัญ คือ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการใช้งาน
เหตุผลข้อที่ 6: สร้างผลการทำงานที่ดีกว่าด้วย User Interface ที่ช่วยจัดรูปแบบในการทำงานให้เหมาะสม
Solid Edge ได้นำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligent (AI)) และ Machine Learning มาเริ่มใช้ในการปรับเปลี่ยนกลุ่มคำสั่งใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคนโดยอัตโนมัติเพื่อลดเวลาในการเข้าถึงคำสั่งที่ต้องการ และไม่แสดงคำสั่งที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าต่างการออกแบบ โดยระบบจะทำการเรียนรู้และจดจำวิธีการ และขั้นตอนการทำงานของผู้ใช้งาน คาดเดาคำสั่งที่จะถูกนำมาใช้งานในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการปรับปรุงกระบวนการออกแบบโดยรวม
เพียง 6 เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นก็มากมายพอที่จะให้เหล่าผู้ใช้งานอยากเปลี่ยนใจมาใช้งาน Solid Edge กันแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก: Siemens
เรียบเรียงโดย: Digital Transformation Engineering